วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

คลังลุยแก้ พ.ร.บ.ร่วมทุน หวังดูดเงินเอกชน-ช่วยรัฐคุมภาระหนี้

จัดทำบทความโดย น.ส.วิไลพร  กิตติศุภลักษณ์  เลขทะเบียน 5101103108



คลังชู PPP ลุยแก้ พ.ร.บ.ร่วมทุน ดึงเอกชนลงขันธุรกิจ โกยผลประโยชน์มหาศาล แถมช่วยรัฐคุมภาระหนี้สิ้นอีกทาง คาดใช้เวลาไตร่ตรอง 1-2 สัปดาห์รู้ผล







วันนี้ (25 ก.ย.) นายประดิษฐ์ ภัทรประ สิทธิ์ รมช.คลัง กล่าวว่า ได้หารือกับ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง มีแนวทางว่าจะเร่งผลักดันการแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการรัฐ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) ซึ่งบังคับใช้มา 18 ปี เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการพิจารณาการให้สัมปทานของรัฐ หรือการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนสำหรับโครงการที่มีการลงทุนหรือมีทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป






เนื่องจากที่ผ่านมา พ.ร.บ.ดังกล่าวส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการขยายการลงทุน ทั้งในเรื่องของความล่าช้าในการพิจารณาโครงการที่ต้องผ่านขั้นตอนและมีความยุ่งยากมาก ซึ่งถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการกระตุ้นให้เอกชนสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนกับภาครัฐ คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้






นายประดิษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของวงเงินลงทุนซึ่งตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนได้กำหนดไว้ที่ 1,000 ล้านบาท อาจต้องมาพิจารณาว่าจะขยับเพิ่มเป็นเท่าไร แม้ก่อนหน้านี้จะมีการเสนอว่าให้มีการขยับเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป






สำหรับแนวทางในการแก้ไข พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนกับภาครัฐ (PPP) เพื่อเป็น การลดการกู้ยืมเพื่อมาสนับสนุนโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีไปถึงภาระหนี้สินของรัฐบาล ที่แม้ปัจจุบันจะอยู่ในระดับที่ไม่มีปัญหา แต่รัฐบาลจำเป็นต้องมีการบริหารภาระหนี้สินดังกล่าวให้อยู่ในระดับที่ดีที่สุด


ที่มา http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9530000134823
 
คำถาม
 
1.ที่ผ่านมา พ.ร.บ.ดังกล่าวส่งผลให้เกิดปัญหาด้านใด
 
2.พ.ร.บ.ร่วมทุน บังคับใช้มาแล้วกี่ปี
 
3.แนวทางในการแก้ไข พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนกับภาครัฐ (PPP) เป็นไปเพื่อ

“คลัง” ปรับประมาณการ ศก.ไทยปีนี้ขยับ 7.5%-บาท 30 ต่อดอลลาร์

จัดทำบทความโดย นางสาวบุษรินทร์ รอดสุด     เลขทะเบียน 5101103161



สศค.ปรับเป้าประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 7.5% ส่วนอัตราแลกเปลี่ยน คาดเงินบาทสิ้นปีอยู่ที่ราว 30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่แนวโน้มปี 54 เชื่อ จีดีพีอยู่ที่ 4-5% และเงินเฟ้อเพิ่มเป็น 3.5% สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีน่าจะปรับเพิ่มเป็น 2% และปี 2554 แตะ 3%




วันนี้ (27 ก.ย.) นายสาธิต รังคศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเป้าหมายอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 53 ใหม่เป็นโต 7.5% จาก 5.5% เมื่อเดือน มิ.ย. อัตราเงินเฟ้อปี 53 อยู่ที่ 3.4% สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าเงินบาทสิ้นปีอยู่ที่ราว 30 บาท/ดอลลาร์ โดยทั้งปี 53 เฉลี่ยที่ 31.70 บาท/ดอลลาร์



ขณะที่ปี 54 คาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี จะอยู่ที่ 4-5% และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มเป็น 3.5%



ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีคาดว่าปรับเพิ่มเป็น 2% และปี 54 แตะ 3% นายสาธิต กล่าวว่า จีดีพีของไทยในช่วงไตรมาส 3/53 ยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า โดยคาดว่าจะมีอัตราเติบโตในระดับ 6% และในไตรมาส 4/53 จะขยายตัวประมาณ 3.3%



“เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 คาดว่า จะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะสามารถขยายตัวได้ที่ร้อยละ 7.5 ต่อปี” ผอ.สศค.กล่าว



นายสาธิต กล่าวว่า ในปี 54 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยจะกลับเข้าสู่ภาววะปกติที่ 4.5% โดยมีช่วงคาดการณ์ไว้ที่ 4-5% เนื่องจากมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้



สศค.คาดว่า การบริโภคภาคเอกชนจะเติบโต 4.2% ตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ส่วนการลงทุนของภาคเอกชน คาดว่าจะโต 5.9% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับ อัตราการใช้กำลังผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตเพื่อการส่งออกอยู่ในระดับสูงมาตั้งแต่ปี 53 ขณะที่ยังมีแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง



พร้อมกันนั้น ยังคาดว่า จะทำให้ปี 54 มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัว 22% ขณะที่มูลค่าการนำเข้าจะขยายตัว 13.2% ส่งผลให้ดุลการค้าปี 54 จะเกินดุลลดลงมาอยู่ที่ 9.4 พันล้านเหรียญ สรอ. ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะเกินดุลลดลงมาอยู่ที่ 1.19 หมื่นล้านเหรียญ สรอ. หรือ ประมาณ 34% ของจีดีพี



ด้านการใช้จ่ายภาครัฐ คาดว่า ในด้านการบริโภคจะขยายตัว 6.4% ตามการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีของรัฐบาลที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การลงทุนภาครัฐจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.7% ตามบทบาทของภาครัฐ ในการสนับสนุนเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอลงในช่วงที่ภาคเอกชนสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น



สำหรับเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่า เงินเฟ้อในปี 54 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% เป็นผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่คาดว่ายังทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปี 53 ในขระที่อัตราการว่างงานจะอยู่ในระดับปกติที่ 1.2%



ทั้งนี้ สศค.ได้ใช้ 6 สมมติฐานหลักสำหรับการประมาณการเศรษฐกิจในปี 54 คือ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก 14 ประเทศฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด, ราคาน้ำมันดิบดูไบ ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง อันมีผลมาจากฐานต่ำในปีก่อน, ดัชนีราคาสินค้าส่งออกและนำเข้าขยายตัวเร่งขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรและราคาน้ำมันในตลาดโลก ข้อสี่ เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและมีความผันผวนสูงจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ, อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น และ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และรายจ่ายนอกเงิบประมาณ หรืองบไทยเข้มแข็งยังเป็นไปตามเป้าหมายในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
 
ที่มา http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9530000135590
 
คำถาม
 
1. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเป้าหมายอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 53 ใหม่จากเท่าไหร่เป็นเท่าไหร่
 
 2.ในปี 54 คาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ และอัตราเงินเฟ้อเป็นกี่เปอร์เซ็นต์
 
3.เสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่า เงินเฟ้อในปี 54 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% เป็นผลจากราคาใด

ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดบ้านต้อนรับคณะนักลงทุนผู้ถือหุ้นกู้ดั๊บเบิ้ล เอ

จัดทำบทความโดย    นางสาววิศนี  สรรพกิจจานนท์     เลขทะเบียน 5101103164

ภาพข่าว: ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดบ้านต้อนรับคณะนักลงทุนผู้ถือหุ้นกู้ดั๊บเบิ้ล เอ

ดั๊บเบิ้ล เอ กระดาษแก้โลกร้อน เปิดบ้านต้อนรับ คณะนักลงทุนผู้ถือหุ้นกู้ดั๊บเบิ้ล เอ เยี่ยมชมกระบวนการผลิตเยื่อและกระดาษที่ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นผู้นำในการสร้างแบรนด์กระดาษในประเทศไทยและต่างประเทศ จนมีฐานลูกค้าอยู่กว่า 100 ประเทศทั่วโลก ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง โดยตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมาหลังจากการสร้างแบรนด์ดั๊บเบิ้ล เอ ก็ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการส่งออกรวมแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท และมีผลประกอบการกำไรติดต่อกันอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปี โดยในปี 2552 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ประมาณ 2,000 ล้านบาท

 ที่มา http://www.ryt9.com/s/prg/993263

คำถาม

1.ดั๊บเบิ้ลเอ มีฐานลูกค้ากี่ประเทศทั่วโลก

2.สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการส่งออกรวมแล้วกี่ล้านบาท

3.ในปี 2552 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ประมาณกี่ล้านบาท

ธนาคารธนชาต จับมือ ธนาคารนครหลวงไทยออกเงินฝากประจำ Super Grow Up 22 เดือนให้ดอกเบี้ยสูงสุด 5.50% ต่อปี

จัดทำบทความโดย นางสาววราภรณ์ รัตนพันธ์ เลขทะเบียน 5101103126


ธนาคารธนชาต จับมือ ธนาคารนครหลวงไทยออกเงินฝากประจำ Super Grow Up 22 เดือนให้ดอกเบี้ยสูงสุด 5.50% ต่อปี

ธนาคารธนชาต จับมือ ธนาคารนครหลวงไทย ออกเงินฝากประจำ Super Grow up 22 เดือน ให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการฝาก สูงสุดถึง 5.50% ต่อปี ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในตลาด เมื่อเปรียบเทียบกับเงินฝากประเภทเดียวกัน โดยจะให้ดอกเบี้ยในเดือนที่ 7, 12, 17 และ 22 แถมชูจุดเด่น ถอนก่อนกำหนดก็จะคิดดอกเบี้ยให้ทุกวันจนถึงวันที่ถอน พร้อมฝากได้ทั้งที่ธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทยทุกสาขา

นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในระหว่างที่ธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทยอยู่ในกระบวนการควบรวมกิจการ จึงได้ประสานความร่วมมือด้านธุรกิจระหว่างกันในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายและครบวงจรแก่ลูกค้าควบคู่ไปด้วยกัน เพื่อเป็นการตอกย้ำแนวคิด “ทะยานไกลไปด้วยกัน” หรือ “Growing Together” รวมทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของคณะผู้บริหารธนาคารในการที่จะผลักดันการให้บริการที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าเป็นสำคัญ ธนาคารทั้ง 2 แห่ง จึงได้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำ Super Grow Up 22 เดือนขึ้นมา เพื่อตอบสนองผู้ฝากเงิน ที่ต้องการฝากเงินกับบัญชีที่ให้ผลตอบแทนสูง ถึงแม้ดอกเบี้ยในตลาดจะขึ้นช่วงปลายปี บัญชีนี้ก็ให้ดอกเบี้ยที่สูงพร้อมสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในตลาดแล้ว หรือหากต้องการถอนก่อนครบกำหนด ก็สามารถถอนได้โดยไม่เสียผลตอบแทนใดๆ

โดย เงินฝากประจำ Super Grow Up 22 เดือน ประเภทนี้ เป็นเงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการฝาก คือ เดือนที่ 1-7 อัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี เดือนที่ 8-12 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี เดือนที่ 13-17 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี เดือนที่ 18-22 อัตราดอกเบี้ย 5.50% ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของเงินฝากประจำ Super Grow Up 22 เดือน เท่ากับ 2.86% ต่อปี ถือเป็นดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในตลาด เมื่อเปรียบเทียบกับเงินฝากประเภทเดียวกัน โดยเปิดบัญชีขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท และจะให้ดอกเบี้ยในเดือนที่ 7,12, 17 และ 22 ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ หรือกระแสรายวันที่มีชื่อเดียวกันตามที่แจ้งไว้โดยอัตโนมัติ ในกรณีถอนก่อน 7 เดือน จะไม่ได้รับดอกเบี้ย และหากฝากถึงตั้งแต่ 7 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ครบกำหนด ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยให้ทุกวันจนถึงวันที่ถอนจริง

และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ฝากเงิน สามารถเปิดบัญชีได้ทั้งที่ ธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย กว่า 670 สาขาทั่วประเทศ โทรศัพท์ 1770
 
ที่มา ไทยพีอาร์ ดอทเน็ต
 
คำถาม
 
1. ธนาคารธนชาต จับมือ ธนาคารนครหลวงไทย ออกเงินฝากประจำ Super Grow up 22 เดือน ให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการฝาก สูงสุดกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี
 
2. เงินฝากกรณีใดที่ไม่ได้รับดอกเบี้ย
 
3. ธนาคารมีการเกณฑ์การให้ดอกเบี้ยอย่างไร

ธนาคารฮาเวน ทรัสต์แบงก์ ฟลอริด้าล้มละลายแล้ว

จัดทำบทความโดย   นางสาวฐิวรรณภรณ์ เจริญศรี
 http://i.bnet.com/blogs/fdic250.jpg


บรรษัทประกันเงินฝากแห่ง สหรัฐ (FDIC) ได้สั่งปิดธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง คือ ธนาคารฮาเวน ทรัสต์แบงก์ ฟลอริด้า (Haven Trust Bank Florida) ในรัฐฟลอริด้า ส่งผลให้จำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐพุ่งขึ้นเป็น 126 แห่งในปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาคการเงินของสหรัฐยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย




FDIC ระบุว่า ธนาคารฮาเวน ทรัสต์แบงก์ ฟลอริด้า มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 148.6 ล้านดอลลาร์ และมีเงินฝากมูลค่า 133.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการล้มละลายของฮาเวน ทรัสต์แบงค์ ส่งผลให้ FDIC ต้องแบกรับต้นทุนการประกันเงินฝากเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 31.9 ล้านดอลลาร์
 
 
ที่มา http://www.fdic.gov/
 
คำถาม 1.ธนาคารฮาเวน ทรัสต์แบงก์ ฟลอริด้า (Haven Trust Bank Florida) ในรัฐฟลอริด้า ส่งผลให้จำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐเป็นกี่แห่ง
 
2.ธนาคารฮาเวน ทรัสต์แบงก์ ฟลอริด้า มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้นกี่ล้านดอลลาร์
 
3.การล้มละลายของฮาเวน ทรัสต์แบงค์ ส่งผลให้ FDIC ต้องแบกรับต้นทุนการประกันเงินฝากเป็นมูลค่าทั้งสิ้นกี่ดอลลาร์

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

หุ้นมะกันปิดปรับตัวลดลง ยอดแรงงานว่างงานพุ่ง

จัดทำบทความโดย นางสาวบุษรินทร์ รอดสุด     เลขทะเบียน 5101103161



ตลาด หุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขาย ดัชนี ปรับลดลงจากตัวเลขจำนวนแรงงานว่างงานที่ยื่นขอความช่วยเหลือ จากรัฐเพิ่มขึ้น 12,000 คน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา น้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 47 เซนต์...




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 ก.ย. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขาย ดัชนีปรับเพิ่มในช่วงแรก หลังข้อมูลระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 7.6% ก่อนที่ดัชนีจะปรับลดลงจากตัวเลขจำนวนแรงงานว่างงานที่ยื่นขอความช่วยเหลือ จากรัฐเพิ่มขึ้น 12,000 คน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือยูโรโซน ที่ลดลงในเดือนที่ผ่านมา



ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 47 เซนต์ ไปปิดที่ระดับ 75.18 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 10,662.42 จุด ลดลง 76.89 จุด แนสแดคปิดที่ระดับ 2,327.08 จุด ลดลง 7.47 จุด และเอสแอนด์พีปิดที่ระดับ 1,124.83 จุด ลดลง 9.48 จุด.

ที่มา   http://www.thairath.co.th/
คำถาม
1.จำนวนแรงงานว่างงานที่ยื่นขอความช่วยเหลือจากรัฐเพิ่มขึ้นเป็นกี่คน
2.ยอดขายบ้านมือสองในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นเป็นกี่เปอร์เซ็นต์
3.ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้นเป็นกี่เซนต์

ทองคำฝ่าด่านสำเร็จ เดินหน้าทำสถิติใหม่

จัดทำบทความโดย     นางสาววราภรณ์  รัตนพันธ์      เลขทะเบียน 5101103126


ในที่สุดทองคำก็สามารถปิด สัปดาห์ที่ผ่าน ด้วยการยืนเหนือระดับสูงสุดเดิมที่ 1,265 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาสำเร็จจนได้ โดยปิดตลาดที่ราคา 1,273 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และเราได้เห็นกองทุนใหญ่อย่าง SPDR เริ่มกลับมาเก็บทองคำเข้าพอร์ทอีกครั้ง




การ ขึ้นมารอบนี้ มาจากการอ่อนค่าของ US ดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องออกแรง เข้าแทรกแซงค่าเงินเยนที่แข็งค่าสูงสุดในรอบ 15 ปี การแทรกแซง ไม่ได้ทำให้ทิศทางหรือแนวโน้มเปลี่ยนไป เป็นเพียงการชะลอผลเท่านั้น อีกไม่นาน เราคงได้เห็นดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอีก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



อเมริกา มีโครงการอีกเพียบที่จะอ่อนค่าเงินตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ ตลาดการเงิน การเตรียมอัดฉีดเม็ดเงิน (ที่ตนเองไม่มี) อีกกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าสร้างงานด้านสาธารณูปโภค



ดอลลาร์สหรัฐ อ่อน ยูโรก็ต้องแข็ง ฟากยุโรปคงไม่สบายใจเท่าไหร่หรอกครับ (ดูไทยก็ได้ ร้องกันระงม) แต่คงต้องผลัดกัน จากสัญญาณทางเทคนิค รอบนี้ น่าจะเป็นคิวของอเมริกาก่อน เดี๋ยวยุโรป ค่อยตามมา เพราะมีกรีซ ที่เหมือนเป็นระเบิดเวลา รอคิวเขย่าโลกอยู่เช่นกัน แต่ไม่ว่าใครจะไปก่อน เชื่อขนมกินได้ครับ ว่ารอบนี้ ทองคำจะอยู่รอด ไม่น่าร่วงตามใครไปหรอก


ว่า กันตามเทคนิค เอา chart ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐให้ดู ราคาทองคำที่ขึ้นรอบนี้ สวนทางกับดอลลาร์สหรัฐที่ร่วงลงมา ด่านสำคัญของดอลลาร์สหรัฐ ดูจะอยู่แถว 80 จุด หากหลุด ก็มีแนวโน้มที่จะลงต่อไปได้อีกไกลครับ อาจได้เห็น new low ที่ 70 จุด ได้เลย จากการวัดเป้าหมาย เมื่อหลุดแนว neckline ของ Pattern Head&Shoulder ลงไปได้



สัปดาห์นี้ เข้าใกล้สิ้นเดือน และใกล้การปิดไตรมาสด้วย เราคงได้เห็นทั้งทองคำและดอลลาร์สหรัฐ สวิงแรง เพื่อหาทิศทาง หลังจากทองคำ เบรกทำ new high ขณะที่ ดอลลาร์สหรัฐทรุดตัวลงเข้าใกล้แนวรับสำคัญ



ฐานราคาทองคำ ส่วนตัว เชื่อว่าขยับขึ้นมาเหนือระดับ 1,250 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว เป้าหมาย 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือสูงกว่า ก็เชื่อว่า เราน่าจะได้เห็นกันในปีนี้แหละ แต่ค่าเงินบาทนี่สิครับ แข็งเอาเรื่อง ระดับราคา 20,000 บาทไทย ไม่แน่ใจว่า จะได้เห็นกันหรือเปล่า

ที่มา   http://www.thairath.co.th/

คำถาม
1.การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนที่แข็งค่า  ทำให้ทิศทางหรือแนวโน้มเปลี่ยนไปหรือไม่
2.อเมริกามีโครงการอะไรบ้างที่จะอ่อนค่าเงินดอลลาร์
3.กองทุนใหญ่ที่กำลังจะกลับมาเก็บทองคำเข้าพอร์ทอีกครั้งคือกองทุนอะไร